ทองแต่ละประเภทในนาฬิกา Vintage watch
หลายคนยังไม่ทราบความแตกต่างของนาฬิกาทอง แต่ละประเภท
บทความนี้น่าจะช่วยท่านได้บ้าง ไม่มากก็ไม่น้อย
มาเริ่มจากทองที่ใช้ในการทำนาฬิกา ที่เรียกกันว่า ทองเค นั้น ก็คือ ทองคำแท้ๆนี่ละครับ คนละอย่างกับทองเก๊นะครับ แต่มีส่วนผสมของโลหะอื่น ที่มีค่าผสมลงไปด้วย เพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน ความสวยงาม ความคงทนแข็งแรง ความเหมาะสม หรืออื่นๆ
ทองคำแท้ๆ มีเปอร์เซ็นต์ของทอง ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
คือทอง 100% เท่ากับ 24 K แต่ที่จริงแล้วทอง 100% หรือ 99.99% ไม่สามารถเอามาทำตัวเรือนได้ เพราะทองคำมีความอ่อนมากเกินไป จึงจำต้องนำโลหะมีค่าอย่างอื่นมาผสม เพื่อให้เกิดความแข็งแรง ความสวยงาม
ดังนั้นนาฬิกาที่ผู้ขายคนไหนบอกทำจากกทองคำแท้ๆ100% แสดงเขาอาจไม่มีความรู้ หรืออาจรู้แต่บอกไปแบบส่งเดชเพื่อเพิ่มมูลค่าของนาฬิกาตัวเองแบบมั่วๆ
ต่อไปก็มาดูกันดีกว่าว่า
ทองในแต่ละKมีส่วนผสมของทองโดยประมาณเท่าไหร่
ทอง 10K หมายถึง มีส่วนผสมของทองคำ โดยประมาณ 41.67 %
ทอง 14K หมายถึง มีส่วนผสมของทองคำ โดยประมาณ 58.34 %
ทอง 18K หมายถึง มีส่วนผสมของทองคำ โดยประมาณ 75.00 %
ในนาฬิกาส่วนใหญ่จะสลัก บอกปริมาณ ค่าเค ไว้ที่ด้านหลังตัวเรือนนาฬิกา หรือฝาหลังนั้นเอง โดยเฉพาะถ้านาฬิกาเรือนไหน ใช้ค่าทองถึง 18K เราจะเห็นได้ว่า ราคาจะค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ
แล้วสีของนาฬิกาเรือนทองแต่ละเรือนมันต่างกันตรงไหน
18K yellow gold
คือ ทองออกสีเหลือง(มีสัดส่วนผสม ทอง75%+เงิน16%+ทองแดง 9%) พบเห็นได้ทั่วไปใน vintage watch
18K pink gold
คือ ทองออกสีชมพู ( มีส่วนผสมของทอง75%+เงิน12.5%+ทองแดง 12.5% )
18K rose gold
ทองออกสีกุกลาบ ออกแดง ๆ (มีส่วนผสมของทอง75% +เงิน 9 %+ทองแดง 16 % )
18K Red Gold
สีเหลืองอมแดงคนไทยนิยมเรียกว่า ''นาก'' (ทอง75%+เงิน 4.5 %+ทองแดง 20.5% )
white gold
ทองคำขาว หรือที่เรียก white gold ก็คือทองคำแท้ๆ ที่เรารู้จักกันดี มาผสมกับโลหะสีเงิน เช่นเงิน และ แพลาเดียม ก็จะทำให้ทองสีเหลืองที่เราคุ้นเคยกลายเป็นสีขาว ส่วนค่า K ก็ขึ้นอยู่กับส่วนผสม (มีส่วนผสมของทอง75%+เงิน 5%+ พาลาเดียม 20%)มีความเงางาม มาก จะมีราคาสูงเช่นกัน ( เรื่องทองขาว กับ ทองคำขาวนี้ ผู้คนยังเข้าใจผิดกันอยู่มาก โดยส่วนมากมักคิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน แท้ทีจริงต่างกันพอสมควร ฝรั่งเขาถึงเรียกต่างกัน แต่บ้านเราเรียกปะปนกันจนแยกไม่ออก )
ส่วนทองขาว
หรือที่เรียกว่า Platinum นั้น
คือ โลหะทองคำสีขาวเลย หรือ แร่ธาตุสีขาวบริสุทธิ์ ( เป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ผสมกับแร่ธาตุอื่นใด ) และ หายากมาก พบได้ปริมาณน้อยมาก เปรียบเทียบกับทองคำธรรมดา หากปริมาณเท่ากัน ทองคำขาวจะหนักกว่ามาก ราคาของทองคำขาวจึงสูงกว่าทองคำแท้ๆ 2-3 เท่าตัวเลยที่เดียว ส่วนมากมักนิยมนำมาทำเครื่องมือแพทย์ หรือเครื่องประดับราคาสูงๆ เป็นต้น
------------------------------------
Gold solid
ก็คือนาฬิกาที่วัสดุใช้ทองทั้งชิ้นมาทำเป็นตัวเรือนนาฬิกา ส่วนใหญ่ที่เห็นกันอยู่ก็จะมี 18 k Gold solid , 14 k Gold solid และนาฬิกาจำพวกนี้จะมีราคาสูง เพราะว่าตัวเรือนนาฬิกาใช้ทองkทำทั้งเรือน ส่วนใหญ่จะสลักไว้ไม่ตรงขา ก็ฝาหลัง เป็นรูปหัวแหม่ม หรือกระรอก ถ้าเป็น18kก็จะเป็นรูปหัวแหม่ม ถ้าเป็น14k ก็จะเป็นรูปกระรอก เรามักจะเห็นในนาฬิการุ่นเก่าๆ แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆหน่อยมักไม่เสลักรูปอย่างว่าแต่จะเขียนไว้เลยเช่น 18k 750 (75%) และยังมีเป็นรูป ไก่ป่า หมี กวาง แต่รูปที่กล่าวว่าจะใช้ตีตราสำหรับ Silver และ Platinum
ตราประทับบนนาฬิกานี้มีไว้เพื่อบอกเกรดของวัสดุที่ใช้ทำนาฬิกาเรียกว่า'Hallmarking''
ภาพตัวอย่างนาฬิกา ประทับตรา Hallmarking

----------------------------------------------------------------------------
Gold filled
กระบวนการผลิต โดยการ filled เป็นทองที่มีลักษณะห่อตัวเรือนนาฬิกา
โดยผ่านขบวนการเคลือบ,ห่อ ด้วยความร้อน และภายใต้ แรงดัน อันเป็นเทคนิคมาแต่โบราณ หรือที่นิยมเรียกกันว่าหุ้มทอง โดยการเอาแผ่นทองบางๆ มารีดสวมทับไปบนตัวเรือนสแตนเลส นาฬิกาที่เป็น gold filled สังเกตได้ง่ายว่า ส่วนมาก มัก ทำทั้งตัวเรือน และที่ฝาหลังด้วย เพื่อป้องกันการสึกหรอจากการสัมผัสโดยตรงกับผู้สวมใส่ และยังมักนิยมทำในเครื่องประดับอื่นๆ เช่น แหวน สร้อยคอ เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------------
Gold plated
กระบวนการผลิต โดยการเคลือบแผ่นทองคำด้วยกระบวนการทางไฟฟ้า อันเป็นวิธีสมัยใหม่ ทำได้รวดเร็ว และประหยัดเวลากว่า สังเกตได้ง่ายว่าในนาฬิกาที่เป็น gold plated จะทำเฉพาะตัวเรือน ส่วนฝาหลังจะคงเป็นสแตนเลส เสียส่วนใหญ่ มีสัดส่วนความหนาของทองที่ชุบเป็นMicron นาฬิการุ่นเก่าๆส่วนใหญ่ที่เห็น เช่น 10,20,40 micron รุ่นที่เก่ามากๆบางรุ่นมีความหนาถึง10micron ความหนาขนาดนี้แทบจะเทียบได้กับการหุ้มด้วยทองเลยที่เดียว แต่ในนาฬิการุ่นใหม่ๆมักจะชุบกันแค่10micronถือว่าหนามากแล้ว ส่วน 5 micron ถือว่าเป็นค่าความหนาที่ยอมรับได้ในเรื่องความทนในการใช้งานระดับหนึ่ง
------------------------------------------------------------
ผมเชื่อว่ายังอีกหลายคนสับสน เรื่องคำเรียกของคนไทยเรา
ที่ใช้เรียกกัน
เช่น ทองหุ้ม, ทองแปะ ,กะไหล่ทอง ผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้
สรุปความแตกต่าง ทองหุ้ม และ ทองแปะ ตามที่คนไทยนิยมเรียก
ใช้การหุ้มทองทั้งตัวเรือน
มักจะมีเขียนไว้ ไม่ตรงข้างๆก็ในฝาหลังด้วยว่าหุ้มกี่K
เช่น 14 k Gold Filled
----------------------------------------------------------------------------------------
ทองแปะ
ก็คือการนำทองมาแปะบนตัวนาฬิกา บางสำนักและต่างประเทศจะเรียกว่าGold-Cap อุปมาเหมือนเอาหมวกทองมาใส่บนหัวนาฬิกา
(อุปมาเอาเอง..ฮา)
นิยมรีดเอาทองมาแปะบนตัวนาฬิกาแค่บางส่วน เช่นตรงขอบบนและขา แต่ไม่หุ้มทั้งเรือนเหมือนทองหุ้ม อาจเป็นที่มาของคำว่าทองแปะก็ได้คือเอาแผ่นทองมาแปะบนตัวนาฬิกาบางส่วน
---------------------------------------------------
กะไหล่ทอง
ผมคิดว่าจริงๆแล้วก็คือกรรมวิธีการหุ้มทองอย่างหนึ่งของบ้านเรานี้เอง
แต่ช่างจะทำการเคลือบนาฬิกาด้วยทอง โดยวิธีการใช้ปรอททา ทำให้ร้อนแล้วจึงปิดแผ่นทอง วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายกับช่างที่ทำเพราะสารระเหยจากปรอทหลังจากโดนความร้อน จึงเริ่มไม่เป็นที่นิยม
***เครดิต กะไหล่ โดย ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล
กะไหล่
กะไหล่ หมายถึง เคลือบภาชนะและของใช้ต่าง ๆ ด้วยทองหรือเงิน ด้วยวิธีการใช้ปรอททา ทำให้ร้อนแล้วจึงปิดแผ่นทองหรือแผ่นเงิน.
วิธีทำกะไหล่จะทำให้แผ่นทองแผ่นเงินติดแน่นทนทาน ทำให้ภาชนะหรือของใช้นั้นงดงามมีราคา เช่น พานกะไหล่ทอง โต๊ะกะไหล่ทอง.
คำว่า กะไหล่ เป็นคำที่มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า kalayi.
ปัจจุบันช่างทำเครื่องใช้ที่เป็นเงินเป็นทองมักใช้วิธีชุบแทนกะไหล่ เพราะทำได้เร็วกว่าถูกกว่า แต่การชุบนั้นทองจะเคลือบผิวบางมาก ผิวทองจึงไม่ติดทนเท่ากะไหล่. คำว่า กะไหล่ บางคนเรียกว่า กาไหล่ หรือ ก้าไหล่ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ใช้ว่า กะไหล่ แต่ก็เก็บคำว่า กาไหล่ ไว้ด้วย.
ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน
-------------------------------------------------------------------
จริงๆแล้วกรรมวิธีนี้จะไม่พบในนาฬิการุ่นเก่า แต่จะขอกล่าวถึงสักนิด
เพราะต่อไปเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยๆในนาฬิกายุคนี้
การหุ้มทองบนตัวเรือนนาฬิกา เริ่มมาหยุดชะงักตรงที่ราคาทองคำที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
และพอเหมาะพอเจาะกับการ
เข้ามาของเทคโนโลยี่การชุบผิวแข็งแบบ PVD
ข้อดีของการชุบสีทองPVD ก็คือความทนทานเป็นหลักใหญ่
มีต้นทุนต่ำกว่าการใช้ทองคำและเพราะผิวที่ชุบ
มีความหนาเพียง 1 - 2 ไมครอน
จึงทำให้ชิ้นงานไม่มีอาการ Over size ภายหลังการชุบ
ถ้าเปรียบเทียบแบบไม่ยึดหลักการอะไรมากมาย
ระหว่างการชุบสีทองPVD 1 - 2 ไมครอน
มีความทนทานประมาณว่าเท่ากับการชุบทอง 5 - 7.5 ไมครอน
------------------------------------------------------------
***บทความที่เขียนเกิดจากความคิดและประสบการณ์ส่วนตัว อาจจะไม่ตรงและขัดกับข้อมูลของหลายๆท่านก็ต้องขออภัย ไว้เป็นแค่ทางเลือกหนึ่งในการหาข้อมูลก็แล้วกันครับ
*บทความที่นำเสนอบางท่อนบางตอนผมเอาข้อมุลมาหลายๆที่จึงไม่สามารถลงเคดิตให้กับผู้นำเสนอเป็นคนแรกได้หมด และไม่มีแหล่งอ่างอิงที่แน่นอน*